วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

ข่าวสารสำหรับชาววิ้ด-ด (บึ้ม)



 
From: pornsuk sun <tangjaijing@hotmail.com>
Date: ก.ย. 30, 2009 1:54 หลังเที่ยง
Subject: ข่าวสารสำหรับชาววิ้ด-ด (บึ้ม)
To: 

สวัสดีค่า
         มีข่าวสารสำหรับชาววิทย์ ที่ไม่หยุดนิ่งกับการเรียนรู้ อย่างนี้ต้องเรียกว่า ชาววิ้ด-ด (บึ้ม) ค่ะ
นั่นคือ เทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ ครั้งที่ 5
วันที่ 17 - 27 พฤศจิกายน 2552 นี้  สถานที่ ดังนี้ค่ะ
* พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานคร สวนจตุจักร ถ.กำแพงเพชร 4
* โรงภาพยนตร์ EGV Kids Cinema by VITAMILK Champ
* ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา (ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ) BTS เอกมัย
* สวทช. อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย คลองหลวง
* สสวท. ร่วมกับสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในส่วนภูมิภาค
* องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) เทคโนธานี คลอง 5
* อุทยานการเรียนรู้ TK Park ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 8 Dazzle Zone
        รายละเอียดเพิ่มเติม ลองเข้าไปดูใน เวปที่แนบมานี้นะคะ
http://www.goethe.de/ins/th/prj/wif/thindex.htm
http://www.goethe.de/ins/th/prj/wif/deindex.htm


check out the rest of the Windows Live™. More than mail–Windows Live™ goes way beyond your inbox. More than messages



--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
blog
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/
http://newsblog9.blogspot.com/
http://bloghealth99.blogspot.com/
http://labour9.blogspot.com/
http://www.ksmecare.com/docSeminar/520902031848987.pdf
http://www-01.ibm.com/software/th/events/lotusliveevent/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

เนคเทคพัฒนาซอฟต์แวร์เดนตี้แพลนช่วยวางแผนผ่าตัดรากฟันเทียม

เนคเทคพัฒนาซอฟต์แวร์เดนตี้แพลนช่วยวางแผนผ่าตัดรากฟันเทียม
เนค เทค พัฒนาซอฟต์แวร์เดนตี้แพลนช่วยวางแผนผ่าตัดรากฟันเทียม เพิ่มความปลอดภัยและสะดวกกับทันตแพทย์พร้อมถ่ายทอดให้มหาวิทยาลัยใช้ ประโยชน์ในการศึกษาวิจัยต่อไป
ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ป่วยที่ประสบปัญหาสุขภาพในช่องปากจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่สูญเสียฟันและต้องใส่ฟันเทียมทั้งปาก ซึ่งการฝัง รากเทียมจะช่วยยึดฟันเทียมให้ติดแน่นได้ แต่ที่ผ่านมาทันตแพทย์ต้องใช้วิธีฝังรากฟันเทียมที่ยุ่งยาก ไม่มีเครื่องมือช่วยวางแผนที่ดี โดยทันตแพทย์ต้องถ่ายภาพฟันจากเครื่องถ่ายภาพรังสี (X-ray) ที่เป็นสองมิติเท่านั้น ซึ่งทำได้เพียงการคาดคะเนตำแหน่งของเส้นประสาทกับประสบการณ์ของทันตแพทย์ใน การฝังรากฟันเทียมให้กับผู้ป่วยเท่านั้น ทำให้เกิดการบิดเบือนจากความเป็นจริงและใช้เวลานานถึง 3 ชั่วโมง ดังนั้น เนคเทคได้ร่วมกับสำนักงานจัดการสิทธิเทคโนโลยี ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) ในการอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ “ซอฟต์แวร์ช่วยวางแผนการผ่าตัดรากฟันเทียมเดนตี้แพลน (Dental Implant Plaaning Software:Dintiplan) โดยระบบซอฟต์แวร์เดนตี้แพลนจะเป็นเครื่องมือช่วยวางแผนการผ่าตัดบน คอมพิวเตอร์ก่อนการผ่าตัดจริง โดยจะใช้ข้อมูลรูปฟันแบบสามมิติจากการถ่ายภาพด้วยเครื่องเอกซเรย์ คอมพิวเตอร์ (X-ray CT) ทำให้ภาพมีความถูกต้องแม่นยำเสมือนจริงมากกว่าเครื่องถ่ายภาพรังสี อีกทั้ง เพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการผ่าตัดมากขึ้น ที่สำคัญใช้เวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ สามารถเก็บข้อมูลผู้ป่วย เพื่อเรียกกลับมาดูได้ทันที อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นได้ให้นักศึกษาและอาจารย์คณะทันตแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยมหิดล ไปใช้ประโยชน์ในการศึกษาและวิจัยทางด้านทันตกรรมต่อไป นอกจากนี้ ยังมีภาคเอกชนและศูนย์ทันตกรรมสนใจติดต่อและขออนุญาตใช้ซอฟต์แวร์ดังกล่าว แล้วหลายแห่ง ทั้งนี้ ในอนาคตจะมีการปรับปรุงระบบให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น
สำหรับสถาบันการศึกษาที่ต้องการใช้ประโยชน์ในการศึกษาวิจัยซอฟต์แวร์เดน ตี้แพลน รวมถึงผู้ประกอบการใดที่สนใจจะขอรับอนุญาตใช้ลิขสิทธิ์สามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานจัดการสิทธิเทคโนโลยี TMC ได้ที่โทร 02-564-7000 ต่อ 1619 หรือ E-mail tlo@tmc.nstda.or.th

 
ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : นิศากานต์ กีร์ตะเมคินทร์    Rewriter : จำนงค์ ศรัณยพิพัฒน์
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th



 วันที่ข่าว : 24 กันยายน 2552


--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
blog
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/
http://newsblog9.blogspot.com/
http://bloghealth99.blogspot.com/
http://labour9.blogspot.com/
http://www.ksmecare.com/docSeminar/520902031848987.pdf
http://www-01.ibm.com/software/th/events/lotusliveevent/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

คนเราตายได้กี่วิธี "ประวัติศาสตร์ความตาย"

วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11517 มติชนรายวัน


คนเราตายได้กี่วิธี "ประวัติศาสตร์ความตาย"


โดย ศิริพงษ์ วิทยวิโรจน์ siripong@kidtalentz.com



นานมากแล้ว ร่วมๆ 40 ปีนั่นละครับ หนังสือชื่อ "คนเราตายได้กี่วิธี" เดินออกมาเยี่ยมกรายผู้คนบนแผงหนังสือ ผู้เขียนคือ นพ.เสนอ อินทรสุขศรี

ชื่อ นี้คนที่อ่านหนังสือหนังหาสมัยก่อน น้อยคนจะไม่รู้จัก คุณหมอเป็นนักเขียน ที่เขียนคอลัมน์ตามหน้าหนังสือพิมพ์ และนิตยสาร มีหนังสือออกมาเป็นเล่มๆ มากมายนัก

ท่านมีคุณูปการต่อคนไทยทั้งปวงในฐานะนายแพทย์ผู้ทำ เรื่องยากทางการแพทย์ให้เป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับคนทั่วไป อันเป็นหัวใจสำคัญของการสาธารณสุขพื้นฐาน

ที่สำคัญท่านเขียน หนังสือสนุกอย่างยิ่ง อย่างเช่น "คนเราตายได้กี่วิธี" ที่ท่านเขียน เปี่ยมด้วยอารมณ์ขันทั้งที่เป็นเรื่องความตาย และว่าไปแล้วความตายไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่อ่านแล้วเพลิน และได้ความรู้ไปด้วย

ถ้าใครรู้ถึงขั้นปลงอนิจจังได้ก็ยิ่งประเสริฐ เพราะสำหรับเรื่องของความตายแล้ว...ใครปลงไม่ได้ก็จมกับมันไปตลอดชีวิต เท่ากับตกนรกทั้งเป็น

ความจริงไม่ว่าใครเกิดมาก็ต้องตายกันทั้งนั้น แต่หลายคนก็กลัวตายยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น แม้ความตายจะเป็นของธรรมดาอย่างยิ่งของสรรพชีวิต ขนาดสิ่งไม่มีชีวิต กรวดหินดินทรายก็ยังมีวันเสื่อมสลายเลย นับประสาอะไรกับชีวิตคน

ว่าไปแล้วความตายก็คือเพื่อนสนิทที่เคียงข้างอยู่ทางซ้ายของเราตลอดเวลานั่นเอง เผลอเมื่อไรมันตบหัวเราลงไปด่าวดิ้นเลยทีเดียว

แต่นอกจาก คุณหมอเสนอ อินทรสุขศรี แล้ว จะมีใครสักกี่คนที่สงสัยว่า "คนเราตายได้กี่วิธี"

ก็ คงมีเยอะอยู่หรอกครับ แต่ที่ถึงขั้นอดรนทนไม่ไหว ใช้เวลาเป็นสิบปี ค้นคว้าสถิติการตายรูปแบบต่างๆ ประดามี แล้วเรียบเรียงออกมาเป็นหนังสือเล่มเขื่องอย่างหนังสือเล่มที่ชื่อว่า "ประวัติศาสตร์ของความตาย" ที่แปลมาจากฉบับภาษาอังกฤษ "Final Exists : The Illustrate Encyclopedia Of How We Die" ของ Michael Largo

มันคือ สารานุกรมประกอบภาพความตายไล่เรียงลำดับตามตัวอักษรจาก A-Z เล่มนี้ คัดสรรวิธีสุดสามัญที่ทำให้คนตายมานำเสนอ เป็นวิธีตายจากของจริงที่มีบันทึกเป็นหลักฐานเก็บไว้

ลาร์โก ใช้เวลากว่าสิบปีเก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับหนังสือเล่มนี้ แล้วกลั่นมันออกมาด้วยลีลาแสบๆ คันๆ ปนอารมณ์ขัน ซึ่งไม่ง่ายเลยสำหรับการเล่นกับความตาย แม้มันจะเป็นข้อเท็จจริงที่บันทึกไว้

เพราะสังคมปัจจุบันที่เรารับ รู้วิธีการฆ่าตัวตายมากมายหลายวิธีจนถึงระดับวิจิตรพิสดาร ทำให้ขยาดกับการบอกความจริงกับคนถึงวิธีตายที่มีมากมายก่ายกองเกินพรรณนา

กระทั่งการสะอึกก็คร่าชีวิตคนไปเป็นพันคนมาแล้ว

เจตนาของลาร์โกก็คงตรงกับหลักของศาสนาพุทธที่ว่า "จงยังชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท" โดยใส่อารมณ์ขันเข้าไป

อ่านๆ ไปแล้วน่าจะเข้าถึง "ความตาย" ได้ว่าเป็นของธรรมด๊าธรรมดา

เคยสงสัยมั้ยครับว่า ระหว่างไม้จิ้มฟันกับสายฟ้าอย่างไหนทำให้คนตายได้มากกว่ากัน

เชื่อหรือไม่ว่า แต่ละปีมีคนตายในสวนสนุกมากกว่าหนึ่งหมื่นคน

และ หมากฝรั่งทำให้คนตายได้...เรื่องนี้คงพอจะรู้กันอยู่บ้าง แต่หนึ่งในคนที่ตายเพราะหมากฝรั่งติดคอคือ นายจอห์น บี. เคอร์ติส ผู้ประดิษฐ์คิดค้นหมากฝรั่งขึ้นมานั่นเอง

ฯลฯ

ขอให้คิดเหมือน อย่างที่ "ฟรีดิช นิทเช่" ว่าไว้ "ความตายเฉียดใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวต่อชีวิต" (สำนวนแปล นพดล เวชสวัสดิ์)

ไม่ต้องหวาดกลัวก็จริงอยู่หรอก แต่อย่าไปตายแทนไอ้พวกที่ปลุกเร้าให้เราไปตายแทนเขาก็แล้วกัน

และคำเตือนสุดท้าย....หลงตัวเองจนตายก็มีด้วยนะครับ


หน้า 6

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

เราคือบุตรหลานของดวงดาว

เราคือบุตรหลานของดวงดาว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 กันยายน 2552 21:11 น.
       

        
            “ห้วง อวกาศนั้นปราศจากลม สัมผัสอันนุ่มนวลยามสายลมอ่อนลูบไล้ใบหน้า และแม้กระทั่งการโจมตีอันเกรี้ยวกราดของพายุ จึงเป็นความสุขใจอย่างหนึ่งที่ได้กลับคืนสู่โลก”
       

            “เรา มองว่าโลกเปรียบดังโอเอซิสหนึ่งเดียวในห้วงอวกาศ เป็นบ้านของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และเป็นที่พักพิงของสิ่งมีชีวิตเพียงแห่งเดียวที่เรารู้จักในระบบสุริยะ”
       

            ...คือคำบอกเล่าจากนักบินอวกาศ กับนักธรณีวิทยาดาวเคราะห์ อย่าง ทอม โจนส์ และ เอลเลน สโตแฟน ผู้ถ่ายทอดปูมดวงดาวไว้ได้อย่างน่าสนใจ ใน PLANETOLOGY (ชื่อภาษาไทย-เผยความลับอาณาจักรดาวเคราะห์) หนังสือสารคดีพิเศษ จาก NATIONAL GEOGRAPHIC

       

        
            ทว่า ใช่เพียงคำกล่าวข้างต้น หากข้อมูลน่าพิศวงเกี่ยวกับระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ และดวงจันทร์บริวารในหนังสือเล่มนี้ ยังชวนให้ย้อนนึกถึงข้อสันนิษฐานใหม่ นับแต่มนุษยชาติได้รู้จักส่วนประกอบของดาวหางว่ามีโมเลกุลอินทรีย์ที่อาจก่อ ให้เกิดสิ่งมีชีวิต ซึ่งนำไปสู่คำกล่าวทำนองว่า เรา...เผ่าพันธุ์มนุษย์ รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์สีน้ำเงินที่ชื่อว่า ‘โลก’ นี้ ล้วนเป็นบุตรหลานของดวงดาว
       
            เราทั้งมวล ถือกำเนิดขึ้นจากการร่วมรักของดาวเคราะห์สีน้ำเงินและดาวหาง
       ดาวหางพุ่งชนโลก ทิ้งเชื้ออสุจิไว้ในการประคับประคองด้วยครรภ์ของโลก เจริญเติบโตเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวรูปแบบง่ายๆ กระทั่งผ่านวิวัฒนาการนานหลายพันล้านปี เผ่าพันธุ์มนุษย์จึงก่อกำเนิดขึ้น เป็นระยะเวลาของการวิวัฒน์สายพันธุ์อันยาวนาน นานพอจะทำให้มนุษย์หลงลืมไปว่า เผ่าพันธุ์ของตน มิใช่สิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวที่อยู่รอดในห้วงอวกาศ

       

        
            ไม่น่าแปลกใจ หากเรื่องราวของระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ และดวงจันทร์บริวาร รวมถึงการสำรวจห้วงอวกาศเพื่อค้นหาร่องรอยของสิ่งมีชีวิต ผ่านประสบการณ์ที่ผสานกับภูมิความรู้อย่างแตกฉาน ในศาสตร์อันว่าด้วย ธรณีวิทยาดาวเคราะห์ ของ ทอม โจนส์ และ เอลเลน สโตแฟน ที่มอบไว้ให้แก่ผู้อ่าน จะยิ่งย้ำเตือนให้ตระหนักว่า การถือกำเนิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตทุกเผ่าพันธุ์บน ‘โลก’…ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่คือความมหัศจรรย์ คือพลานุภาพที่อาศัยการผนึกกำลังร่วมกันของทั้งห้วงจักรวาล ไม่ว่า สายพันธุ์ที่ผ่านการวิวัฒน์อย่างซับซ้อน หรือยังคงรูปแบบอันเรียบง่าย
       
            ทั้งหมดทั้งมวลคือองคาพยพที่เชื่อมโยงและขับเคลื่อน ‘ชีวิต’
       
            สำหรับเรา สารคดีเล่มหนาหนักเล่มนี้ จึงให้มากกว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ธรณีวิทยาดาวเคราะห์ แต่คือการถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับห้วงจักรวาลอันไพศาล เพื่อบอกกล่าวว่า กว่าแต่ละเผ่าพันธุ์บนโลกจะถือกำเนิดขึ้นมา
       
            เราเดินทางผ่านความมหัศจรรย์อันแสนยากเข็ญเพียงไร
       
            เรามาอยู่ที่นี่ ตรงนี้ ณ ขณะนี้ ได้อย่างไร

       

        
            ถึงที่สุดแล้ว อาจเป็นเช่นที่ ทอม และ เอลเลน บอกไว้
       “เราศึกษาดวงดาวทั้งมวล เพื่อที่ในท้ายที่สุดเราจะเข้าใจโลกของเราเอง”
       

                        .................
       
            เรื่องโดย : ตัวหนอนบนกองหนังสือ
       ภาพประกอบจาก PLANETOLOGY เผยความลับอาณาจักรดาวเคราะห์
       
            หมายเหตุ : PLANETOLOGY ฉบับภาษาไทย แปลโดย อศิระ วนัส จัดพิมพ์โดย บมจ.อมรินทร์ พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง
       
http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9520000104814

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
kb
http://camp02.blogspot.com/ camp02
http://kb1951.blogspot.com/ park
http://kbparks.blogspot.com/ kbpark
http://word1951.blogspot.com/ wordpress
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.educationatclick.com
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/

"การพัฒนากลไก-กระบวนการผู้แทนผู้บริโภคเพื่อร่วมกำหนดนโยบาย กฎหมาย มาตรการ เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านโทรคมนาคม"

สรุปงานประชุม "การพัฒนากลไก-กระบวนการผู้แทนผู้บริโภคเพื่อร่วมกำหนดนโยบาย กฎหมาย มาตรการ เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านโทรคมนาคม"

                                DSC00257.JPG

                                      DSC00202.JPG

          เมื่อไม่นานมานี้ สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) องค์กรอิสระในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ได้จัดประชุม "การพัฒนากลไก-กระบวนการผู้แทนผู้บริโภคเพื่อร่วมกำหนดนโยบาย กฎหมาย มาตรการ เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านโทรคมนาคม" ขึ้นที่ โรงแรมอมารี แอร์พอร์ต  นายแพทย์ประวิทย์  ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการหารือร่วมกันของผู้แทนองค์กรผู้บริโภคจำนวน  45 องค์กร เพื่อจัดตั้งสภาผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ซึ่งจะเป็นเวทีของตัวแทนองค์กรผู้บริโภคจากทุกภูมิภาคของไทย ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการกำหนดนโยบาย เสนอกฎหมาย กฎระเบียบ หรือมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม และเป็นปากเป็นเสียงแทนผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม 

           “ เรื่องนี้องค์กรผู้บริโภคได้ผลักดันร่วมกันมาเป็นเวลานานแล้ว จนในที่สุดทาง กทช. ได้เห็นความสำคัญจึงได้กำหนดไว้ในแผนแม่บทฉบับที่ 2 ว่า ควรมีกลไกที่ผู้บริโภคสามารถมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย กฎหมาย หรือมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม” ผอ.สบท.กล่าว

                               DSC00286.JPG
                         DSC00288.JPGDSC00303.JPG
         
          ภารกิจ สำคัญของสภาผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมคือ การจัดทำข้อเสนอแนะ การให้ความเห็นต่อนโยบาย กฎระเบียบ และมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค ทั้งในเชิงรับและเชิงรุก ทางด้านเชิงรับคือ เมื่อคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (คบท.) และคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ( กทช.) ต้องการทราบความเห็นในเรื่องใดที่อาจมีผลกระทบกับผู้บริโภค สภาแห่งนี้ก็จะเป็นผู้ตอบหรือจัดกระบวนการหาคำตอบ ส่วนในเชิงรุกคือ เมื่อสภาฯ เห็นว่า คบท./ กทช. หรือหน่วยที่เกี่ยวข้อง สมควรมีนโยบาย กฎหมาย หรือมาตรการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ก็จะเป็นฝ่ายเสนอแนะและผลักดันให้เกิดนโยบายหรือกฎหมายดังกล่าว
 
          นอกจากนี้สภาผู้บริโภคยังมีหน้าที่ในการติดตาม ตรวจสอบ และผลักดันให้นโยบาย กฎหมาย และมาตรการต่างๆ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมมีผลใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ หรือมีการบังคับใช้  รวมทั้งศึกษาติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาผู้บริโภค และผลกระทบของนโยบาย กฎหมาย และมาตรการต่างๆ ที่มีต่อการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม
                                DSC00358.JPG

                                 DSC00315.JPG

          ทั้งนี้ สภา ผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมเป็นตัวแทนจากองค์กรผู้บริโภคใน 10 ภูมิภาค ประกอบด้วยกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคกลาง  ภาคเหนือตอนบน ภาคเหนือตอนล่าง ภาคอีสานตอนล่าง ภาคอีสานตอนบน  ภาคใต้ตอนบน ภาคใต้ตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก โดยมีตัวแทนภูมิภาคละ 3 คน นอกจากนี้ยังคัดเลือกจากกลุ่มประเด็นเฉพาะ คือ กลุ่มผู้พิการ กลุ่มเด็กและเยาวชน กลุ่มผู้สูงอายุ  กลุ่มชาติพันธ์ อีกจำนวน 15 คน และกลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน รวมทั้งหมด 50 คน

          สำหรับขั้นตอนการดำเนินการจัดตั้งสภาผู้บริโภค ในขณะนี้ได้มีการตั้งคณะทำงานสรรหาขึ้นมามีหน้าที่ในการจัดให้เกิดกระบวนการ ให้ได้มาซึ่งสมาชิกสภาผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ภายใน 90 วัน นับจากวันที่ 1 มิถุนายนเป็นต้นไป ระหว่างนี้คณะทำงานสรรหาจะปฏิบัติหน้าที่แทนสภาผู้บริโภคฯ เป็นการชั่วคราวก่อนจนกว่าการจัดตั้งสภาแล้วเสร็จ โดยประเดิมงานแรกด้วยการให้ความเห็นต่อร่างหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อ สังคม  ซึ่งจะเป็นโจทย์แรกที่คณะทำงานชุดนี้จะได้ทำ

                                   DSC00307.JPG
 
          “สถานะของสภาฯ ในเวลานี้ยังไม่จำเป็นที่จะต้องมีกฎระเบียบมารองรับสถานะ แต่สิ่งที่จำเป็นมากกว่าคือ ต้องทำให้สภาตรงนี้เกิดขึ้นจริง มีตัวตนจริง มีคณะบุคคลที่เป็นสมาชิกสภาที่ทำงานได้จริง และยืนอยู่บนหลักพื้นฐานว่า คณะทำงานนี้ต้องเป็นอิสระ ทั้งจาก กทช.  คบท. และ สบท. ด้วย“ นายแพทย์ประวิทย์กล่าว

          นายแพทย์ประวิทย์กล่าวต่อไปว่า ดังนั้นลักษณะต้องห้ามของสมาชิกสภาผู้แทนผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมที่ สำคัญคือ ต้องไม่เป็นผู้ที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทร คมนาคม ผู้ประกอบการโทรคมนาคม และในระยะไม่น้อยกว่า 5 ปีก่อนได้รับการเสนอชื่อ ต้องไม่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจโทรคมนาคมอันจะเป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิบัติ หน้าที่ เป็นต้น นอกจากนี้กรรมการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม หรือผู้รับผิดชอบโครงการของ สบท. ล้วนไม่มีสิทธิเป็นสมาชิกสภา ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้สภาผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมเป็นอิสระอย่างแท้จริง และสามารถทำงานเป็นปากเป็นเสียงให้กับผู้บริโภคได้อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม
              

http://www.tci.or.th/news_show.asp?id=44

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
kb
http://camp02.blogspot.com/ camp02
http://kb1951.blogspot.com/ park
http://kbparks.blogspot.com/ kbpark
http://word1951.blogspot.com/ wordpress
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.educationatclick.com
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

ทำไมหิ่งห้อยถึงมีแสงสว่างในตัวเอง

ทำไมหิ่งห้อยถึงมีแสงสว่างในตัวเอง

วันอาทิตย์ ที่ 13 กันยายน 2552 เวลา 0:00 น

Bookmark and Share

ทราบหรือไม่ว่า ทำไมหิ่งห้อยถึงมีแสงสว่างในตัวเอง วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีคำตอบมาบอก...

แสงสว่างในตัวหิ่งห้อยเกิดจาก สารลูซิเฟอรินไปรวมกับออกซิเจนในอากาศ โดยมีสารอีกตัวหนึ่ง คือ ลูซิเฟอเรส เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเคมี ซึ่งสารทั้งสองตัวนี้ ได้มาจากตัวหิ่งห้อยโดยตรง แสงที่เกิดจากหิ่งห้อยจะเป็นแสงที่ปราศจากความร้อน ซึ่งสามารถจับดูได้ และปริมาณแสงสว่างที่เกิดขึ้นก็นับว่าน้อยมาก เพียงหนึ่งในพันของแสงจากแสงเทียนไขธรรมดา

แสงของหิ่งห้อยจะมีลักษณะวับวาบ เพราะแสงสว่างจะขึ้นอยู่กับจังหวะการหายใจ จังหวะหายใจเข้าแสงจะติด และจังหวะหายใจออกแสงจะดับ เป็นอยู่อย่างนี้ตลอด หิ่งห้อยจะใช้แสงในการล่อเพศตรงข้าม และบางครั้งก็ใช้ล่อเหยื่อ

เพียงเท่านี้ ก็คงทราบกันแล้วว่าแสงของหิ่งห้อยเกิดจากอะไร.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=19125

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
kb
http://camp02.blogspot.com/ camp02
http://kb1951.blogspot.com/ park
http://kbparks.blogspot.com/ kbpark
http://word1951.blogspot.com/ wordpress
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.educationatclick.com
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

กรีนพีซฉายภาพยนตร์ "ยุคแห่งความโง่เขลา" รอบปฐมทัศน์ที่กรุงเทพฯ

กรีนพีซฉายภาพยนตร์ “ยุคแห่งความโง่เขลา” รอบปฐมทัศน์ที่กรุงเทพฯ

กรุงเทพฯ, 9 กันยายน 2552- ยุคแห่งความโง่เขลา ภาพยนตร์แอนนิเมชั่นกึ่งสารคดีที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำลังจะเข้าฉายในกรุงเทพฯ เร็วๆนี้ พร้อมกันกับการฉายรอบปฐมทัศน์กว่า 100 แห่งทั่วโลก

กรีนพีซ ร่วมจัดฉายภาพยนตร์ “ยุคแห่งความโง่เขลา” รอบปฐมทัศน์ โดยเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อตกลงที่มีความเป็นธรรม มุ่งมั่นและมีผลบังคับใช้ในทางกฎหมายในการประชุมสุดยอดว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์กปลายปีนี้ รอบปฐมทัศน์ของภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวถูกจัดฉายในวันเดียวกับที่มีการประชุมสมัชชาสหประชาติที่นิวยอร์ค และยังได้ฉายพร้อมกันในโรงภาพยนตร์กว่า 100 โรง ใน 40 ประเทศทั่วโลก (1) ทั่วทุกทวีป รวมถึงทวีปแอนตาร์กติการ์ ในวันที่ 21 และ 22 กันยายน 2552 และคาดว่าจะได้รับการบันทึกไว้ในกินเนสส์ เวิร์ลด์ เรคคอร์ด ว่าเป็นการฉายภาพยนตร์พร้อมกันครั้งใหญ่ที่สุดในโลก
 
“เป้าหมายของการฉายภาพยนตร์ครั้งนี้ คือโน้มน้าวผู้ชม 250 ล้านคนให้ชมภาพยนตร์ และร่วมเป็นนักกิจกรรมยุติภาวะโลกร้อน” นายมาร์ติน ลอยด์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการรณรงค์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซสากล กล่าว “แม้ดูเหมือนจะเป็นเป้าที่สูงเกินเอื้อม แต่เราอาจจะดูโง่เขลา หากไม่ได้ลองทำ” 
 
กรีนพีซจะจัดฉายภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และประเทศไทย โดยในประเทศไทย กรีนพีซจะเชิญนักการเมือง ดารานักแสดง เข้าร่วมชมภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ที่โรงภาพยนตร์พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ในวันที่ 22 กันยายน 2552 นี้ โดยภาพยนตร์เริ่มฉายเวลา 19.00 น. สามารถติดต่อเพื่อซื้อบัตรได้ที่ 02-357-1921 ต่อ 125 และค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ที่ www.greenpeace.or.th/ageofstupid
 
“ประชาชนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ควรหาโอกาสชมภาพยนตร์เรื่องนี้ เนื่องจากภูมิภาคที่เราอาศัยอยู่นั้น เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีความล่อแหลมมากที่สุดและมีความพร้อมในการรับมือน้อยที่สุดต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้ การฉายภาพยนตร์เรื่องยุคสมัยแห่งความโง่เขลา ได้จัดฉายก่อนหน้าการประชุมโลกร้อนที่กำลังจะมีขึ้นในกรุงเทพฯ เพียงไม่กี่วัน” นายธารา บัวคำศรี ผู้จัดการฝ่ายรณรงค์ ประจำประเทศไทย กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว
 
ภาพยนตร์เรื่องยุคแห่งความโง่เขลา กำกับโดยแฟรนนี อาร์มสตรอง (ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง McLibel) และควบคุมการผลิตโดยลิซซี กิลเล็ท และจอห์น แบทเซค (จากภาพยนตร์เรื่อง One Day in September) และแสดงนำโดยพีท โพสเลธเวท ที่รับบทชายแก่ ที่อาศัยอยู่ในโลกยุค 2598 นั่งดูภาพจากแฟ้มข้อมูลของปี 2551 แล้วเกิดคำถามขึ้นในใจว่า “ทำไมเราไม่ลงมือหยุดภาวะโลกร้อน เมื่อเรามีโอกาส” นอกจากนี้ ภาพยนตร์ดังกล่าวยังได้รับคำวิจารณ์จากสื่อมวลชนและนักการเมืองว่า ควรค่าอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีห่วงใยถึงความอยู่รอดของโลก [2]
 
การมีส่วนร่วมของกรีนพีซในครั้งนี้เกิดขึ้นจากการวางแผนร่วมกันบนเรือเรนโบว์ วอร์ริเออร์ ที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ หลังจากที่ผู้กำกับฟรานนี อาร์มสตรอง ได้เตรียมฉายภาพยนตร์นี้ล่วงหน้าให้แก่สมาชิกสภาผู้แทนของเนเธอร์แลนด์ [3]
 
“หลังจากเห็นถึงความมุ่งมั่นของทีมผู้ผลิต กรีนพีซจึงอยากมีส่วนในการสนับสนุนการรณรงค์ดังกล่าว ทีมงานผู้ผลิตได้ปรับแนวทางในการระดมทุน การจัดจำหน่ายและการประชาสัมพันธ์ในวงกว้าง เป้าประสงค์ของพวกเขามิใช่เพียงการประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์เท่านั้น แต่เป็นการผลักดันเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นบนโลกนี้” นายมาร์ติน กล่าวเสริม
 
โพสเลธเวท อาร์มสตรองและกิลเลท จะจัดรอบปฐมทัศน์ โดยต้อนรับแขกผู้เข้าร่วมงานอย่างนาย โคฟี อันนัน นักแสดงอย่างกิลเลียน แอนเดอสัน ผู้มีชื่อเสียงในแวดวง นักต่อสู้เรื่องโลกร้อน และผู้นำประเทศ ด้วย “พรมเขียว” ที่ปูเพื่อต้อนรับผู้ร่วมงาน ซึ่งจะเดินทางมาถึงโดยเรือ จักรยาน รถสามล้อถีบ หรือสเก็ตบอร์ด ที่โรงภาพยนตร์ติดแผงพลังงานแสงอาทิตย์ ใจกลางแมนฮัตตัน รอบปฐมทัศน์จะเริ่มขึ้นด้วยสารคดีสั้นจากกรีนพีซ เรื่องธารน้ำแข็งละลายในเทือกเขาหิมาลัย และผืนป่าโบราณในอินโดนีเซีย และยังมีดนตรีโดย ทอม ยอร์ค จาก Radiohead อีกด้วย 
 
ทุกคนสามารถร่วมติดตามภาพยนตร์เรื่องยุคแห่งความโง่เขลานี้ได้ โดยสำรองตั๋วเพื่อเข้าชมรอบปฐมทัศน์และสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาพยนตร์ได้ที่ www.ageofstupid.net และในเวบไซต์ www.greenpeace.or.th/ageofstupid สำหรับประเทศไทย
 
นอกจากนี้ PSI โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมในประเทศไทย ยังได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการฉายภาพยนตร์ยุคแห่งความโง่เขลารอบปฐมทัศน์ทั่วโลกผ่านทางดาวเทียม โดยจะออกอากาศในวันอังคารที่ 22 กันยายน 2552 เวลา 20.00 น. ภายใต้การดำเนินการของบริษัทผลิตรายการโทรทัศน์ ในจังหวัดเชียงใหม่ www.digitalmixes.co.uk ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการออกอากาศผ่านทางดาวเทียม PSI สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ www.psichannel.com
 
การฉายภาพยนตร์ยุคแห่งความโง่เขลา เป็นส่วนหนึ่งของโครงการรณรงค์ “เดินกับช้าง ร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลง” ซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันเสาร์ที่ 12 กันยายนนี้ โดยกิจกรรมดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างกรีนพีซ Tcktcktck และกองทุนวิจัยและอนุรักษ์ช้างไทย โครงการ Chang(e) Caravan – เดินกับช้าง ร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลง – จะนำโขลงช้างเลี้ยง 5 เชือก เดินทางจากเขาใหญ่อันเป็นมรดกโลกและมรดกแห่งอาเซียนในเขต อ. ปากช่อง จ.นครราชสีมา ถึงกรุงเทพมหานคร ก่อนหน้าการประชุมโลกร้อนที่กรุงเทพฯ รวมระยะทางราว 250 กิโลเมตร เป็นเวลา 15 วัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลกระทบและความจำเป็นอันเร่งด่วนที่ต้องเตรียมการรับมือ รวมถึงร่วมเรียกร้องผลักดันให้มีการลงมือทำที่จริงจัง หากสนใจเข้าร่วมกิจกรรม สามารถติดต่อได้ที่ www.greenpeace.or.th  
 
 
 
หมายเหตุ
(1) กรีนพีซฉายภาพยนตร์ยุคแห่งความ โง่เขลา ในประเทศอาร์เจนตินา ออสเตรีย เบลเยียม บราซิล ชิลี เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมัน ฮอลแลนด์ ฮังการี อินเดีย อินโดนีเซีย อิตาลี ลักแซมเบิร์ก เม็กซิโก นอร์เวย์ ฟิลิปปินส์ รัสเซีย สโลวาเกีย สเปน สวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ ไทย ตุรกี และสหรัฐอเมริกา
 
ส่วนออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอังกฤษ ได้จัดฉายรอบปฐมทัศน์ไปแล้ว
 
(2) “นับเป็นวาทกรรมชิ้นเอกเรื่องโลกร้อนที่ทรงพลังที่สุด เท่าที่เคยมีมา” มาร์ค ไลนาส ผู้ประพันธ์เรื่อง Six Degrees: Our Future on a Hotter Planet
 
“ภาพยนตร์เรื่องยุคแห่งความโง่เขลาสะท้อนถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงความจำเป็นอันเร่งด่วน และเหตุผลที่เราจำเป็นต้องลงมือทำโดยเร็วที่สุด” เอ็ด มิลลิแบน เลขาธิการของ State for Energy and Climate Change ประเทศอังกฤษ
 
“ตื่นเต้น เร้าใจตลอดทั้งเรื่อง นับเป็นภาพยนตร์ดรามาเรื่องโลกร้อนบนจอเงินเรื่องแรก ที่ประสบความสำเร็จ” The Guardian, UK
 
(3) ภาพยนตร์เรื่องยุคสมัยแห่งความโง่เขลาใช้การระดมทุนแนวทางใหม่ที่เรียกว่า “การระดมจากฝูงชน ‘Crowd Funding’ ซึ่งผู้ร่วมทุนแต่ละคนเป็นหุ้นส่วนในหนัง
 
การเผยแพร่หลังจากฉายบนจอภาพยนตร์ในประเทศอังกฤษ อยู่ภายใต้การดำเนินการของ Indie Screening ซึ่งอนุญาตให้คนนำภาพยนตร์ไปฉายที่บ้าน ที่ทำงานหรือในห้องประชุมของเมือง การจัดฉายรอบปฐมทัศน์ทั่วโลกตั้งเป้าให้ถึงร้อยกว่าแห่งทั่วโลก
 
การฉายรอบปฐมทัศน์ในประเทศอังกฤษ ได้รับการบันทึกให้เป็นภาพยนตร์ที่มีการฉายพร้อมกันหลายโรงมากที่สุดในโลก ซึ่งฉายพร้อมกันกว่า 60 โรง ส่วนการฉายพร้อมกันทั่วโลกในครั้งนี้ คาดหวังว่าจะมีมากกว่า 100 โรงทั่วโลก